ประวัติวัดด่านสำโรง
วัดด่านสำโรง ตั้งอยู่ริมคลองสำโรง เดิมชื่อวัดสำโรง
เป็นวัดร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้ตกอยู่ในสภาพรกร้างว่างเปล่ามาเป็นระยะ ๆ
ในหนังสือสมุทรปราการ ของคุณเฉลิม
สุขเกษม สำนักพิมพ์สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย พ.ศ.๒๕๑๕
กล่าวว่า “วัดร้างในอำเภอเมืองสมุทรปราการ” ตามที่ได้สำรวจพบมีอยู่เพียง ๒ วัด คือ
๑. วัดสำโรง อยู่เชิงสะพานสำโรง
ในตำบลสำโรงเหนือ มีเนื้อที่ของวัดในปัจจุบันเพียง ๑ งาน ๘๓ ตารางวา
ซึ่งมีหลักฐานตามโฉนดของทางราชการที่วัดต้องเหลือที่ดินเพียงเล็กน้อยเท่านี้
เนื่องจากถูกรุกล้ำที่ดินมาแต่เดิมเพิ่งจะมาออกโฉนดเมื่อ พ.ศ.๒๔๘๐
๒. วัดโบสถ์ อยู่ในตำบลคลองบางปลากด
มีเนื้อที่ประมาณ ๔ ไร่ ๑ งาน
ยังมีซากอิฐฐานพระอุโบสถปรากฏอยู่เป็นบางส่วน ในสมัยก่อน
ทางราชการกรมราชทัณฑ์เคยใช้เป็นสถานที่ประหารชีวิตนักโทษ
วัดร้างดังกล่าวแล้วเข้าใจว่าจะเป็นวัดในสมัยกรุงศรีอยุธยา
ในสมัยที่เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง
ในหนังสืออักขรานุกรมภูมิศาสตร์ไทยกล่าวว่า “พ.ศ.๒๓๑๐ พม่าตีกรุงแตก ตำบลบางเมือง อำเภอเมืองสมุทรปราการ
นี้ก็ถูกพม่าปล้นสะดมบ้านเรือนราษฎรด้วย จึงน่าจะย่อยยับเป็นอันมากในครั้งนั้น” เป็นเหตุทำให้เมืองสมุทรปราการร้างไปเพราะภัยสงคราม
นามและความเป็นมาของวัด
เดิมสมัยก่อน แถวละแวกนี้เป็นป่าสำโรง มีหมู่บ้านอยู่หย่อมเดียว
ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำนา จนเจริญเป็นหมู่บ้านใหญ่ได้ชื่อว่าหมู่บ้านสำโรง
หรือตำบลสำโรง วัดก็เกิดตามมา โดยชาวบ้านร่วมกันสร้างขึ้นประมาณ พ.ศ.๒๓๒๐
ในสมัยกรุงธนบุรีตอนปลาย
เมื่อชาวบ้านทำมาหากินเหลือใช้
ก็ได้มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนกันระหว่างตำบล ในช่วงระหว่างรัชกาลที่ ๓ และรัชกาลที่
๔ ทางราชการบ้างเมืองได้มาตั้งด้านตรวจเรือที่สัญจรไปมาในคลองสำโรง และเก็บภาษีอากรบริเวณใกล้วัดสำโรงนี้
เพราะสมัยนั้นการสัญจรไปมาต้องอาศัยเรือ (การค้าขายระหว่างกรุงเทพ ฯ
กับจังหวัดฉะเชิงเทรา ต้องใช้เส้นทางคลองสำโรงในการเดินทาง)
ละแวกนี้ก็เลยเรียกกันว่า ด่านสำโรง ถัดมาชื่อของวัดก็พลอยเป็นวัดด่านสำโรงไปด้วย
แม้ว่าต่อมาทางราชการได้ยกเลิกด่านนี้ไปแล้วก็ตาม
สภาพวัดสมัยก่อน
พื้นที่วัดสมัยก่อน เป็นที่ราบลุ่มน้ำท่วมในหน้าน้ำบางปี
บริเวณของวัดรกชัฏ มีต้นไม่สูงขึ้นอยู่โดยทั่วไป กลางคืนมืดคลึ้ม เงียบวังเวงมาก
ไฟฟ้าไม่มีต้องใช้ใต้หรือตะเกียงกระป๋องน้ำมัน
เมื่อจะเดินทางไปไหนมาไหนก็ต้องใช้เรือหรือเดินเท้าในการเดินทาง ตั้งแต่เริ่มสร้างถนนสุขุมวิทเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๗
การสัญจรทางบกก็สะดวกขึ้น ทำให้คนส่วนใหญ่หันมาสัญจรทางบกมากกว่าทางน้ำ
ไฟฟ้าก็เริ่มเข้ามา และทางการได้สร้างสะพานใหญ่ข้ามคลองสำโรง เมื่อปี
พ.ศ. ๒๔๘๐ - ๒
ทำให้การสัญจรติดต่อระหว่างกรุงเทพ ฯ กับจังหวัดสมุทรปราการสะดวกขึ้น
ประชาชนจากสถานที่ต่าง ๆ ได้อพยพเข้ามาอาศัยในบริเวณนี้มากขึ้น มีการสร้างโรงงานอุตสาหกรรม
ทำให้อาชีพทำนาเริ่มน้อยลงไป มีการซื้อขายที่ดินมาสร้างเป็นหมู่บ้าน
จนเป็นชุมชนขนาดใหญ่ในปัจจุบันนี้
การพระราชทานวิสุงคามสีมา
ประมาณว่าได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา ราว พ.ศ.๒๓๒๐ เขตวิสุงคามสีมา
กว้าง ๔๐ เมตร ยาว ๘ เมตร
ลำดับเจ้าอาวาส
เจ้าอาวาสของวัดด่านสำโรงที่พอจะทราบมีด้วยกัน ๗ รูป คือ
๑. พระอธิการเพิ่ม
๒. พระอธิการจ้อย
๓. พระอธิการเรือน
๔. พระอธิการแย้ม
๕. พระสมุทรเมธาจารย์ ( แจ่ม ) พ.ศ.๒๔๗๗-๒๕๑๗
๖. พระครูสิริเลขการ ( เจือ ) พ.ศ.๒๕๑๙-๒๕๓๓
๗. พระครูวิมลศุภการ ( สัมฤทธิ์ ) พ.ศ.๒๕๓๓
ถึงปัจจุบัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น